การใช้ช่องทางออนไลน์ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายในปัจจุบันนี้ มีมากมาย อาทิ Facebook, Instagram และ TikTok ซึ่งเป็นช่องทางที่สามารถใช้ในการประชาสัมพันธ์ได้ เริ่มต้นได้ง่าย เพราะทุกคนเป็นส่วนหนึ่งในชุมชนเหล่านี้อยู่แล้ว และสื่อเหล่านี้อาจมีลูกค้าในอนาคตแฝงตัวอยู่ เราจะพบว่าผู้ให้บริการได้สร้างเงื่อนไขการเข้าถึงการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ของเราไว้หลายข้อ นอกเหนือจากเนื้อหาที่มีความน่าสนใจ การจัดทำเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ และการสร้างกระแสเพื่อไม่ให้แพลตฟอร์มเหล่านี้ปิดกั้นการมองเห็น การใช้เงินเพื่อเพิ่มการมองเห็นก็เป็นเงื่อนไขหลัก ๆ ในการประชาสัมพันธ์ที่ทุกแพลตฟอร์มตั้งใจเก็บเงินค่าใช้บริการของเราทั้งสิ้น การที่เรายืมช่องทางการประชาสัมพันธ์จากแพลตฟอร์มเหล่านี้เราจึงต้องคอยปรับตัวให้เข้ากับนโยบายของแต่ละแพลตฟอร์มอย่างรวดเร็ว หรือถ้าหากแพลตฟอร์มมีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม เราก็จำเป็นะจะต้องจ่าย เพื่อให้เราอยู่ในการมองเห็นนี้อยู่ตลอดเวลา
ลักษณะของสื่อเหล่านี้มีรูปแบบการนำเสนอแบบตามช่วงเวลา (timeline) และการนำเสนอแบบสุ่ม (random) นั่นก็หมายความว่าเราจะต้องมีความสม่ำเสมอในการสร้างเนื้อหา (ที่น่าสนใจ) และภายใต้เงื่อนไขของการนำเสนอนี้ยังถูกกีดกันจากความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานอีกด้วยที่จะทำให้การแสดงเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากนัก
ในขณะที่ Google Search ดูจะเป็นเครื่องมือที่ล้าหลัง หรือทุกคนเคยชินกับเครื่องมือนี้ ในยุคที่ใคร ๆ ก็ต่างบอกว่า Artificial Intelligence (AI) กำลังมีบทบาทในเรื่องของความเร็ว การตอบคำถาม หรือข้อมูล ฯลฯ แต่ผู้ใช้งานยังคงใช้ Google Search ในการช่วยค้นหาสิ่งต่าง ๆ อยู่ เนื่องจากเป็น extension ในเบราเซอร์ เว็บไซต์ก็จะมีบทบาทที่สำคัญในแบบที่คุณคาดไม่ถึง เนื่องจากการแสดงผลเหล่านี้จะดึงเว็บไซต์ของคุณขึ้นมาแสดง หากเรามีการเตรียมตัวไว้อย่างดี
หากเปรียบเทียบกับการสร้างหน้าร้าน หรือการตกแต่งร้านค้า เว็บไซต์มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้งานได้ค่อนข้างมากหากวางแผนดี ๆ เราสามารถเริ่มต้นสร้างเว็บไซต์แบบพื้นฐานอย่างเช่นการจัดทำ one-page website หรือ sales page และตั้งเป้าหมายในการพัฒนาเพื่อให้มีความซับซ้อนและมีประสิทธิ์ภาพมากยิ่งขึ้นจนกลายเป็น information website ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจ (inspirations) ด้วยความคิดสร้างสรรค์เพื่อนำเสนอและสื่อสารกับผู้บริโภค หรือเป็น e-commerce เพื่อซื้อขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ สิ่งที่สำคัญสำหรับการทำเว็บไซต์คือการหาตำแหน่ง (role) และรูปแบบในการสื่อสารให้ชัดเจน อย่าให้เว็บไซต์มีความซับซ้อนเข้าถึงข้อมูลยาก ในขณะเดียวกันก็ควรทำให้น่าสนใจ เพราะเป็นโอกาสที่เราสามารถออกแบบและพัฒนาฟีเจอร์ต่าง ๆ ได้อย่างที่ใจต้องการเพราะเว็บไซต์คือช่องทางที่เราเป็นเจ้าของได้เอง 100% ซึ่งจะส่งผลดีกับทีมการตลาดและในด้านอื่น ๆ ก็เป็นได้
การจัดทำเว็บไซต์เปรียบได้เหมือนกับการจัดทำหนังสือ เป็นโอกาสที่แบรนด์จะได้เรียบเรียงเรื่องราว ความเป็นมา สร้างมูลค่าของแบรนด์ได้อย่างดี เพราะหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ อาจจะมีข้อดีในการสื่อสารด้านการตลาด หรือประชาสัมพันธ์ที่สัมพันธ์กับช่วงเวลา ในขณะที่เว็บไซต์จะเต็มไปด้วยการนำเสนอและจัดเก็บข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ สามารถสร้างการรับรู้ของแบรนด์ได้อย่างเต็มที่ในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดองค์ประกอบหน้าที่สวยงาม เลือกใช้ฟอนต์ และภาพประกอบ เป็นต้น
นอกจากที่กล่าวไปข้างต้นว่าเว็บไซต์ช่วยในการสร้างการรับรู้ แต่หารู้ไม่ว่าการมีเว็บไซต์สามารถให้ประโยชน์อื่น ๆ ได้ เช่น ช่วยในการอธิบายความซับซ้อน หรือความพิเศษของผลิตภัณฑ์ได้ ด้วยวิธีการที่น่าสนใจ สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้งานที่เข้าถึงเว็บไซต์ สร้าง lead สำหรับผู้ที่สนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของแบรนด์ หรืออาจจะนำไปสู่การจัดทำระบบต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับ workflow สำหรับธุรกิจ
อีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามสำหรับการทำเว็บไซต์คือการมีหน้าร้านเป็นของตนเอง และสามารถสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ ช่วยสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า หรือการให้ข้อมูลเชิงลึกได้มากขึ้น เมื่อมีการจัดข้อมูลให้อยู่เป็นที่เป็นทาง เว็บไซต์จะเป็นเครื่องมือที่ดีในการสื่อสารกับลูกค้าของเรา
ผู้ใช้งานมักจะเห็นเว็บไซต์ไม่ได้มีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ ทำให้คิดว่าเว็บไซต์ของแบรนด์ไม่ได้ให้ข้อมูลที่สดใหม่ ปัญหาที่เว็บไซต์ถูกทิ้งร้างไว้เป็นเพราะก็ไม่ได้ดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอาจส่งผลจากการที่เทคโนโลยีด้านการแสดงผลมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสัมพันธ์กับความก้าวหน้าของอุปกรณ์ ซอฟท์แวร์ มาจนถึงเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังเว็บไซต์ การกีดกันจากการที่เว็บไซต์ที่โหลดนาน หรือมีช่องโหว่ในด้านความปลอดภัย ล้วนแต่มีผลให้เว็บไซต์ของเราไม่น่าดู
เราอาจจะเคยได้ยินว่าสร้างเว็บไซต์ง่าย ๆ ในคลิกเดียว หรือว่าอาจจะเคยมีประสบการณ์จากการที่ว่าจ้างทำเว็บไซต์กับนักพัฒนาที่มีทักษะในการปรับแต่งธีม (theme) และการใส่ plug-in ซึ่งทำให้ลดระยะเวลาในการพัฒนาว็บไซต์ได้จริงในเบื้องต้น แต่ก็อาจทำให้เกิดความไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยข้อจำกัดที่ถูกส่งต่อกันมาจากเทคโนโลยี เมื่อผู้จัดทำเลือกใช้ plug-in ที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่ได้หมั่นอัปเดตให้ใหม่อยู่เสมอ ก็จะทำให้เว็บไซต์มีปัญหาตามมาด้วย และข้อจำกัดในด้านอื่น ๆ เช่นด้านความปลอดภัย นโยบายความเป็นส่วนบุคคล โครงสร้างของเว็บไซต์ ส่งผลให้การแสดงผลเว็บไซต์ยากขึ้นเพราะการถูกปิดกั้นจาก Google Search
ในด้านของแบรนด์และธุรกิจ เมื่อเห็นว่าเว็บไซต์นั้นมีปัญหาค่อนข้างมาก จึงล้มเลิกความคิดที่จะพัฒนาเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพ ดังนั้นการทำความเข้าใจในด้านการใช้งาน จึงจำเป็นต้องอาศัยทักษะในการเรียนรู้เป็นอย่างมาก ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดคือการปรึกษาผู้ให้บริการในการวางแผนกลยุทธ์ในการจัดทำ และการพัฒนาเว็บไซต์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
เราสามารถทำทำเว็บไซต์ให้มีประสิทธิภาพได้ โดยเริ่มจากความต้องการของแบรนด์เองว่ามีวัตถุประสงค์ในการจัดทำเว็บไซต์เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้งานอย่างไร เราจะจัดการเว็บไซต์ของเราอย่างไร มีอะไรที่เราต้องทำบ้างเมื่อมีเว็บไซต์ และให้คิดเสมอว่าไม่มีเว็บไซต์ไหนที่ไม่มีการปรับปรุง แต่จะมีความยุ่งยากในการปรับปรุงมากแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของแบรนด์ด้วย
มีเทคโนโลยีอีกมากที่ช่วยตอบโจทย์ในการจัดทำเว็บไซต์และการบำรุงรักษา รวมไปถึงความเป็นไปได้ในการต่อยอดให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ควรปรึกษาผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ หรือหากต้องการจัดทำเว็บไซต์ที่มีประสิทธิภาพและตอบรับความต้องการในการสื่อสารแบรนด์ สามารถปรึกษาคราฟส์แมนชิพ เพื่อพูดคุยเบื้องต้นสำหรับเว็บไซต์ใหม่ของคุณ